วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โลกที่พลิกไปไม่เป็นท่าของ “Upside Down”






ช่วง20ปีที่ผ่านมาเรื่องราวความรักของชนชั้นที่แตกต่างนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็น "Titanic” ที่เป็นความรักระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นล่าง หรือ “Warm Bodies” ความรักระหว่ามนุษย์และซากศพ ซึ่งต่างได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี
            ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากที่เนื้อหาภาพยนตร์สะท้อนถึงความเป็นจริงในสังคมโลกที่กำลังเกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม อีกทั้งระบบต่างๆในสังคมได้บีบคั้นให้กฎเกณฑ์ต่างๆเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงความรักเช่นเดียวกัน

            “Upside Down นิยามรักปฏิวัติสองโลก”  ภาพยนตร์โรแมนติกเชิงวิทยาศาสตร์ ที่หยิบเอาของคู่รักที่มีชีวิตอยู่คนละทิศโลก คนละดวงดาว แต่อยู่บนท้องฟ้าผืนเดียวกัน ทำให้ทั้งสองโลกเป็นด้านบนของกันและกัน
แม้โลกทั้งสองจะอยู่ติดกัน แต่กลับไม่ได้มีความเท่าเทียมกัน เมื่อโลกใบหนึ่งกลับเอาเปรียบอีกฝั่งอย่างเห็นได้ชัด
            โลกด้านบนของ 'อีเดน' ตัวละครฝ่ายหญิง คือโลกของ 'นายทุน' ที่เต็มไปด้วยความเพียบพร้อม ผู้คนบนโลกอาศัยอย่างสุขสบาย ต่างจากโลกของ 'อดัม' ที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นโลกของ 'กรรมกร' ได้รับความไม่เท่าเทียม ผู้คนในโลกถูกตราหน้าจากโลกอีกฝั่งว่าเป็นชนชั้นที่ไม่ได้รับการขัดเกลาทางสังคม ในขณะที่โลกด้านบนได้ดูดซึมเอาพลังงานจากโลกแห่งนี้ไปแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า แล้วขายกลับมายังโลกด้านล่างในราคาที่สูงลิบลิ่ว ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ผู้คนบนโลกด้านล่างยากจน มีชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก
            ในภาพยนตร์แสดงถึงความเอารัดเอาเปรียบจากโลกด้านบนสู่โลกด้านล่่างได้อย่างชัดเจน เห็นได้จากองค์กร“ทรานส์เวิร์ล” องค์กรใหญ่ที่มีตึกเชื่อมโลกทั้งสองเข้าด้วยกัน มีประธานบริษัทเป็นบุคคลของโลกด้านบน และมอบตำแหน่งสำคัญให้แก่คนโลกด้านบนเท่านั้น ส่วนคนโลกด้านล่างเป็นเพียงพนักงานทั่วไป และต้องถูกตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดทุกครั้งที่เข้าออกสำนักงาน ที่สำคัญคือเป็นองค์กรหลักของกลุ่มนายทุนที่กำลังดูดเอาพลังงานต่างๆของโลกเบื้องล่าง
กฎเหล็กของสองโลกคือการห้ามประชาชนในโลกทั้งสองติดต่อหรือยุ่งเกี่ยวใดใดต่อกัน แต่ถึงอย่างไรกฎเกณฑ์นั้นก็ไม่อาจขวางกั้นความรักได้ อดัมและอีเดนพบกันบนเทือกเขาสูงโดยบังเอิญ ทำให้เกิดขึ้นเป็นความรัก แม้ว่าจะมีแรงโน้มถ่วงที่เป็นอุปสรรคไม่ให้ทั้งคู่สามารถคบหากันได้เหมือนหนุ่มสาวทั่วไป ความรักที่เป็นไปไม่ได้จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้อดัมต้องการค้นหาความสมดุลของสถานะแรงโน้มถ่วงที่จะช่วยให้คนทั้งสองโลกมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
            ท้ายที่สุดความสมดุลที่ว่าก็ถูกค้นพบขึ้น โดย "เจ้าผึ้งสีชมพู” และ"ผงสีชมพู" สมบัติลับของอดัมและบ๊อบ เพื่อนร่วมงาน โดยการนำสสารทั้งสองมารวมเข้าด้วยกันทำให้คนจากโลกหนึ่งสามารถไปใช้ชีวิตอีกโลกหนึ่งได้โดยไม่ต้องกังวลต่อกฎของแรงโน้มถ่วง และหนุ่มสาวทั้งสองก็สมหวังในความรัก แต่ไม่ใช่เพราะความสมดุลที่ถูกค้นพบ แต่กลับเป็นอีเดนตั้งครรภ์ขึ้น ทำให้เกิดความสมดุลในตัวมนุษย์ทั้งคู่จึงรักกันได้โดยไม่ต้องกลับหัวให้ผิดทิศผิดทางอีกต่อไป
            ด้านองค์ประกอบทั่วไปของภาพยนตร์ถือได้ว่า มีการควบคุมการผลิตได้ดี ทั้งเทคนิคพิเศษบวกกับการคุมโทนสีของภาพยนตร์ แม้จะไม่อยู่ในขั้นดีเลิศ แต่ถือว่าสามารถเสริมให้ภาพดูสบายตาและสวยงาม
            แต่สิ่งที่ทำให้ขาดอรรถรสในการชมคือ การดำเนินเรื่องอย่างเรียบเฉยที่ไม่มีจุดสำคัญสูงสุดของเหตุการณ์ที่ทำให้คนดูรู้สึกลุ้นหรือตื่นเต้นใดใดตลอดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง และการทิ้งคำถามโดยไม่ให้คำตอบแก่ผู้ชม
            บทภาพยนตร์และการลำดับเรื่องกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ฆ่าภาพยนตร์เรื่องนี้เสียเอง เนื่องจากภาพยนตร์ได้ตั้งคำถามขึ้นแต่กลับไม่ให้คำตอบเลยแม้แต่ข้อเดียว กลับกลายเป็นว่าได้เพิ่มคำถามมากขึ้นให้กับคนดูจนยิ่งไม่รู้สึกร่วมใดใดไปกับความรักของคนทั้งสอง
            ตอนจบของเรื่องถือได้ว่าเป็นการจบที่เต็มไปด้วยคำถาม เรียกได้ว่าเป็นการจบที่ยังไม่ถึงช่วงที่ควรจบเนื่องจากเนื้อเรื่องที่พูดถึงระบบทุนนิยมมาตั้งแต่แรกเริ่ม อีกทั้งครอบครัวของอดัมก็ได้รับผลกระทบจากระบอบนี้ รวมถึงอดัมที่พยายามต่อสู้กับกฎเกณฑ์ต่างๆมาตลอด แต่การต่อสู้และความไม่เท่าเทียมที่ว่ากลับไม่ถูกให้คำตอบใดใด ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ถูกปูเรื่องมาแต่แรกยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไข ตอบโจทย์เพียงความรักที่สมหวังของคนทั้งคู่แล้วจบอย่างไม่ทันตั้งตัวท่ามกลางความงงงวยของคนดู
            "เจ้าผึ้งสีชมพู” และ"ผงสีชมพู" คือกุญแจหลักในการนำไปสู่ "ความสมดุล" ระหว่างโลกทั้งสอง ซึ่งเป็นสมบัติที่เก่าแก่ในตระกูลของอดัมและบ๊อบที่ถูกเก็บเป็นความลับตั้งแต่เริ่มเรื่อง ซึ่งภาพยนตร์ก็ไม่ได้เฉลยที่มาที่ไปของเจ้าผึ้งนี้ว่ามีที่มาจากไหน ที่สำคัญคือเมื่อความสมดุลของแรกโน้มถ่วงถูกค้นพบย่อมเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยสองโลกให้เท่าทเียมขึ้นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้ก็และภาพยนตร์กลับไม่ได้เฉลยที่มาที่ไปของเจ้าผึ้งนี้ว่ามีที่มาจากไหน
            ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์รักที่เล่นกับหลักการต่างๆทางวิทยาศาสตร์แต่ยังขาดเหตุผล ขาดความเป็นไปได้ในความเป็นจริง
            ปรากฎการณ์การหมุนโคจรของดาวทั้งสอง ที่ในตอนต้นของภาพยนตร์ได้กล่าวว่า ดาวทั้งสองอยู่ในจักรวาลเดียวกันและโคจรรอบดวงอาทิตย์คนละทิศทาง แต่เวลาของดวงดาวทั้งคู่ช่วงกลับตรงกันทั้งกลางวัน-กลางคืน จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่ดูขัดแย้งในตัวเองอย่างยิ่ง และที่สำคัญหากโคจรคนละทิศทางแล้ว ดวงดาวทั้งสองก็ไม่น่าพบเจอกันได้เลย
            ภาพยนตร์ต้องการเน้นไปเพียงความรักที่ฝ่ากฎเกณฑ์ต่างๆ แม้จะเป็นกฎธรรมชาติ หากมองเพียงความรักก้สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูได้ดี แต่เมื่อมองให้ลึกถึงเนื้อในแล้ว พล็อตเรื่องที่วางไว้กลับพลังทลายไม่เป็นท่า
            Upside Down นิยามรักปฏิวัติสองโลก จึงดูเหมือนเป็นการปฏิวัติตัวเองจนเนื้อเรื่องพลิกไปไม่ถูกทิศทาง น่าเสียดาย ที่ภาพยนตร์ที่มีแนวคิดน่าสนใจและมีเนื้อหาแฝงความแตกต่างในสังคม เรียกได้ว่ามีทุนดีอยู่ในมือ แต่กลับถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดี หากเนื้อเรื่องสามารถโยงความรักให้เสริมกันกับระบบทุนนิยมได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกลายเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่สะท้อนความจริงในสังคมผ่านเนื้อหาแฟนตาซีที่ดีในระดับหนึ่งทีเดียว