ช่วง20ปีที่ผ่านมาเรื่องราวความรักของชนชั้นที่แตกต่างนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น "Titanic” ที่เป็นความรักระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นล่าง
หรือ “Warm Bodies” ความรักระหว่ามนุษย์และซากศพ
ซึ่งต่างได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี
ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากที่เนื้อหาภาพยนตร์สะท้อนถึงความเป็นจริงในสังคมโลกที่กำลังเกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม
อีกทั้งระบบต่างๆในสังคมได้บีบคั้นให้กฎเกณฑ์ต่างๆเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตมากขึ้น
ซึ่งรวมไปถึงความรักเช่นเดียวกัน
“Upside
Down นิยามรักปฏิวัติสองโลก”
ภาพยนตร์โรแมนติกเชิงวิทยาศาสตร์
ที่หยิบเอาของคู่รักที่มีชีวิตอยู่คนละทิศโลก คนละดวงดาว
แต่อยู่บนท้องฟ้าผืนเดียวกัน ทำให้ทั้งสองโลกเป็นด้านบนของกันและกัน
แม้โลกทั้งสองจะอยู่ติดกัน
แต่กลับไม่ได้มีความเท่าเทียมกัน
เมื่อโลกใบหนึ่งกลับเอาเปรียบอีกฝั่งอย่างเห็นได้ชัด
โลกด้านบนของ 'อีเดน' ตัวละครฝ่ายหญิง คือโลกของ 'นายทุน' ที่เต็มไปด้วยความเพียบพร้อม ผู้คนบนโลกอาศัยอย่างสุขสบาย
ต่างจากโลกของ 'อดัม' ที่อยู่ด้านล่าง
ซึ่งเป็นโลกของ 'กรรมกร' ได้รับความไม่เท่าเทียม
ผู้คนในโลกถูกตราหน้าจากโลกอีกฝั่งว่าเป็นชนชั้นที่ไม่ได้รับการขัดเกลาทางสังคม
ในขณะที่โลกด้านบนได้ดูดซึมเอาพลังงานจากโลกแห่งนี้ไปแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า
แล้วขายกลับมายังโลกด้านล่างในราคาที่สูงลิบลิ่ว ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ผู้คนบนโลกด้านล่างยากจน มีชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก
ในภาพยนตร์แสดงถึงความเอารัดเอาเปรียบจากโลกด้านบนสู่โลกด้านล่่างได้อย่างชัดเจน
เห็นได้จากองค์กร“ทรานส์เวิร์ล” องค์กรใหญ่ที่มีตึกเชื่อมโลกทั้งสองเข้าด้วยกัน
มีประธานบริษัทเป็นบุคคลของโลกด้านบน และมอบตำแหน่งสำคัญให้แก่คนโลกด้านบนเท่านั้น
ส่วนคนโลกด้านล่างเป็นเพียงพนักงานทั่วไป
และต้องถูกตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดทุกครั้งที่เข้าออกสำนักงาน
ที่สำคัญคือเป็นองค์กรหลักของกลุ่มนายทุนที่กำลังดูดเอาพลังงานต่างๆของโลกเบื้องล่าง
กฎเหล็กของสองโลกคือการห้ามประชาชนในโลกทั้งสองติดต่อหรือยุ่งเกี่ยวใดใดต่อกัน
แต่ถึงอย่างไรกฎเกณฑ์นั้นก็ไม่อาจขวางกั้นความรักได้
อดัมและอีเดนพบกันบนเทือกเขาสูงโดยบังเอิญ ทำให้เกิดขึ้นเป็นความรัก
แม้ว่าจะมีแรงโน้มถ่วงที่เป็นอุปสรรคไม่ให้ทั้งคู่สามารถคบหากันได้เหมือนหนุ่มสาวทั่วไป
ความรักที่เป็นไปไม่ได้จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้อดัมต้องการค้นหาความสมดุลของสถานะแรงโน้มถ่วงที่จะช่วยให้คนทั้งสองโลกมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
ท้ายที่สุดความสมดุลที่ว่าก็ถูกค้นพบขึ้น โดย "เจ้าผึ้งสีชมพู” และ"ผงสีชมพู"
สมบัติลับของอดัมและบ๊อบ เพื่อนร่วมงาน โดยการนำสสารทั้งสองมารวมเข้าด้วยกันทำให้คนจากโลกหนึ่งสามารถไปใช้ชีวิตอีกโลกหนึ่งได้โดยไม่ต้องกังวลต่อกฎของแรงโน้มถ่วง
และหนุ่มสาวทั้งสองก็สมหวังในความรัก แต่ไม่ใช่เพราะความสมดุลที่ถูกค้นพบ
แต่กลับเป็นอีเดนตั้งครรภ์ขึ้น ทำให้เกิดความสมดุลในตัวมนุษย์ทั้งคู่จึงรักกันได้โดยไม่ต้องกลับหัวให้ผิดทิศผิดทางอีกต่อไป
ด้านองค์ประกอบทั่วไปของภาพยนตร์ถือได้ว่า มีการควบคุมการผลิตได้ดี
ทั้งเทคนิคพิเศษบวกกับการคุมโทนสีของภาพยนตร์ แม้จะไม่อยู่ในขั้นดีเลิศ
แต่ถือว่าสามารถเสริมให้ภาพดูสบายตาและสวยงาม
แต่สิ่งที่ทำให้ขาดอรรถรสในการชมคือ การดำเนินเรื่องอย่างเรียบเฉยที่ไม่มีจุดสำคัญสูงสุดของเหตุการณ์ที่ทำให้คนดูรู้สึกลุ้นหรือตื่นเต้นใดใดตลอดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
และการทิ้งคำถามโดยไม่ให้คำตอบแก่ผู้ชม
บทภาพยนตร์และการลำดับเรื่องกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ฆ่าภาพยนตร์เรื่องนี้เสียเอง
เนื่องจากภาพยนตร์ได้ตั้งคำถามขึ้นแต่กลับไม่ให้คำตอบเลยแม้แต่ข้อเดียว
กลับกลายเป็นว่าได้เพิ่มคำถามมากขึ้นให้กับคนดูจนยิ่งไม่รู้สึกร่วมใดใดไปกับความรักของคนทั้งสอง
ตอนจบของเรื่องถือได้ว่าเป็นการจบที่เต็มไปด้วยคำถาม
เรียกได้ว่าเป็นการจบที่ยังไม่ถึงช่วงที่ควรจบเนื่องจากเนื้อเรื่องที่พูดถึงระบบทุนนิยมมาตั้งแต่แรกเริ่ม
อีกทั้งครอบครัวของอดัมก็ได้รับผลกระทบจากระบอบนี้
รวมถึงอดัมที่พยายามต่อสู้กับกฎเกณฑ์ต่างๆมาตลอด
แต่การต่อสู้และความไม่เท่าเทียมที่ว่ากลับไม่ถูกให้คำตอบใดใด
ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ถูกปูเรื่องมาแต่แรกยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไข
ตอบโจทย์เพียงความรักที่สมหวังของคนทั้งคู่แล้วจบอย่างไม่ทันตั้งตัวท่ามกลางความงงงวยของคนดู
"เจ้าผึ้งสีชมพู” และ"ผงสีชมพู"
คือกุญแจหลักในการนำไปสู่ "ความสมดุล"
ระหว่างโลกทั้งสอง
ซึ่งเป็นสมบัติที่เก่าแก่ในตระกูลของอดัมและบ๊อบที่ถูกเก็บเป็นความลับตั้งแต่เริ่มเรื่อง
ซึ่งภาพยนตร์ก็ไม่ได้เฉลยที่มาที่ไปของเจ้าผึ้งนี้ว่ามีที่มาจากไหน
ที่สำคัญคือเมื่อความสมดุลของแรกโน้มถ่วงถูกค้นพบย่อมเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยสองโลกให้เท่าทเียมขึ้นได้
แต่ท้ายที่สุดแล้วการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้ก็และภาพยนตร์กลับไม่ได้เฉลยที่มาที่ไปของเจ้าผึ้งนี้ว่ามีที่มาจากไหน
ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์รักที่เล่นกับหลักการต่างๆทางวิทยาศาสตร์แต่ยังขาดเหตุผล
ขาดความเป็นไปได้ในความเป็นจริง
ปรากฎการณ์การหมุนโคจรของดาวทั้งสอง ที่ในตอนต้นของภาพยนตร์ได้กล่าวว่า
ดาวทั้งสองอยู่ในจักรวาลเดียวกันและโคจรรอบดวงอาทิตย์คนละทิศทาง
แต่เวลาของดวงดาวทั้งคู่ช่วงกลับตรงกันทั้งกลางวัน-กลางคืน
จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่ดูขัดแย้งในตัวเองอย่างยิ่ง
และที่สำคัญหากโคจรคนละทิศทางแล้ว ดวงดาวทั้งสองก็ไม่น่าพบเจอกันได้เลย
ภาพยนตร์ต้องการเน้นไปเพียงความรักที่ฝ่ากฎเกณฑ์ต่างๆ
แม้จะเป็นกฎธรรมชาติ หากมองเพียงความรักก้สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูได้ดี
แต่เมื่อมองให้ลึกถึงเนื้อในแล้ว พล็อตเรื่องที่วางไว้กลับพลังทลายไม่เป็นท่า
Upside
Down นิยามรักปฏิวัติสองโลก
จึงดูเหมือนเป็นการปฏิวัติตัวเองจนเนื้อเรื่องพลิกไปไม่ถูกทิศทาง น่าเสียดาย
ที่ภาพยนตร์ที่มีแนวคิดน่าสนใจและมีเนื้อหาแฝงความแตกต่างในสังคม
เรียกได้ว่ามีทุนดีอยู่ในมือ แต่กลับถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดี
หากเนื้อเรื่องสามารถโยงความรักให้เสริมกันกับระบบทุนนิยมได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกลายเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่สะท้อนความจริงในสังคมผ่านเนื้อหาแฟนตาซีที่ดีในระดับหนึ่งทีเดียว