วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555
จุดเปลี่ยนของอดีตสู่ความเป็นไปในอนาคต
ต้องบอกเลยว่า ช่วงเดือนธันวาคมเป็นช่วงเทศกาลหนังน่าดูจริงๆ หนึ่งในนั้นคือ Cloud Atlas หยุดโลกข้ามเวลา โดยเฉพาะปลายปี2555 ที่เข้าใกล้สู่วันสำคัญที่คนส่วนหนึ่งเชื่อว่าคือวันแห่งการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโลก
รุปแบบของหนังคล้ายกับBabelอยู่เนืองๆ ที่มีหลายเรื่องรวมกันอยู่ในนั้นโดยที่ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกัน เรื่องราวของCloud Atlas ประกอบไปด้วยเรื่องราวของ6 ยุคสมัย และเล่าเรื่องสลับไปสลับมา จนคนที่ไม่ตั้งใจดูอาจจะงงกับเนื้อเรื่องได้ มีที่มาจากนวนิยายไซไฟของDavid Mitchell มาสู่ภาพยนตร์บนจอแก้วด้วยฝีมือกำกับและเขียนบทของสองพี่น้องWachowski ที่เคยฝากฝีมือไว้ในThe Matrix
เรื่องราวของทั้ง6ภพ ได้แก่
- "The Pacific Journal of Adam Ewing" ทนายหนุ่มไม่ถือตัวผู้เป็นมิตรกับทาสผิวดำ
- "Letter from Zedelghem" นักแต่งเพลงผู้นิยมชายรักชาย
- "Half-Lives: The First Luisa Rey Mystery" นักข่าวหญิงผู้ต้องการประกาศเรื่องธุรกิจมืด
- "The Ghastly Ordeal of Timothy Cavendish" ชายสูงอายุที่ถูกกักขังอิสรภาพ
- "An Orison of Sonmi~451" มนุษย์ดัดแปลงกับชายผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงโลก
- "Sloosha's Crossin' an' Ev'rythin' After "คนป่ากับหญิงสาวที่ตามหาบางสิ่ง
เรื่องราวทั้ง6ถูกเล่าขึ้นมาพร้อมๆกันเริ่มตั้งแต่zachry ในวัยคุณปู่นั่งมองดาวหางบนฟากฟ้า พูดถึงการผจญภัยอันยาวนานของโลกใบนี้ จากนั้นหนังจึงค่อยเล่าเรื่องทั้งหมดทีละนิดๆ
หากนับจากปัจจุบันนี้เป็นหลักเราจะเห็นยุคของ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคมที่มีการแบ่งชนชั้น คนดำยังตกเป็นทาสของคนขาว คนดำไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีสิทธิเสรีภาพใดใดถูกย่ำยีถูกฆ่าตายหากไม่พอใจ
ช่วงที่เพศที่สามยังขาดโอกาสในการแสดงออก การกดขี่และเอาเปรียบ ความไม่พอใจในตนเอง รวมถึงการขโมยผลงาน ในสังคมยังคงมองไปที่ความรักระหว่างชายหญิงเป็นหลัก ส่งผลให้ทั้งหมดกลายเป็นความกดดันและจุดจบของชีวิต
มาถึงช่วงที่ผิวสีเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากคนรุ่นก่อนทำให้เป็นพลังในการต่อสู้ เห็นได้จากตัวเอกของเรื่อง ส่งผลให้ไม่ท้อถอยในหน้าที่การงานและการดำเนินชีวิต แต่ก็ไม่วาย ที่ยังพบกับการทำความชั่วของคนมีอำนาจอยู่ดี ทำให้มีการสั่งฆ่าคนที่รู้เรื่องราวนี้
ส่งผลมาถึงยุคปัจจุบันที่ยังคงเกิดการทุจริตคดโกงในสังคม เกิดนายทุน เกิดเจ้าหนี้-ลูกหนี้ เห็นได้ว่ายุคนี้ สังคมเริ่มเปลี่ยนไปจนมาถึงยุคของ โลกาภิวัตน์แล้ว จากเดิมที่เกย์ยังต้องอยู่อย่างหลบซ่อนไม่สามารถบอกกล่าว แต่ทุกวันนี้ผู้ชายสามารถสวมชุดสตรีเดินไปเดินมาในเมืองได้ แต่ผู้สูงอายุขาดอิสรภาพในการดำรงชีวิต ครอบครัวเริ่มแตกหัก ไม่มีครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นอีกต่อไปแล้ว
หลังจากนั้นจึงเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งหนังบอกเราว่า เกิดการสร้างมนุษย์สังเคราะห์ขึ้น โดยโลกเราถูกควบคุมโดยระบอบใหม่ที่ให้ทนุษย์สังเคราะห์เป็นลูกจ้างและอาหาร เกิดการฆ่าล้างในสงครามอย่างโหดเหี้ยม
จนในที่สุดโลกหันกลับเข้ามาสู่ความดั้งเดิมคล้ายสมัยก่อนเกิดอารยธรรม แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมคือ ทุกคนมีความชั่วมากขึ้น ทุกคนมีความชั่วสะสมในตัว เพียงแต่ว่าเราจะนำมันออกมาใช้หรือไม่ หนังต้องการบอกเราว่าเราทุกคนมีทางเลือกว่าจะทำดีหรือชั่ว
มีอย่างหนึ่งที่เชื่อมต่อภพต่างๆเข้าหากันคือ "ดาวหาง" ตัวละครนำในแต่ละยุค ต่างมีรอยแผลเป็นดาวหางทั้งสิ้น หากเราจำได้ว่าแต่ละสมัยนั้นมีดาวหางปรากฏอยู่ที่ใคร ก็จะเห็นถึงความเป็นไปในยุคนั้น
Cloud Atlas ยังบอกถึงความต่อเนื่องของผลการกระทำ การที่เราทำสิ่งใดลงไปย่อมส่งผลต่อรุ่่นหลังที่จะได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น ความริษยา ความเห็นแก่เงินทอง ความเห็นแก่ตัว กิเลสของมนุษย์ที่ส่งผลให้ท้ายที่สุดมีแต่ความเน่าเฟะ
อีกสิ่งหนึ่งของหนังที่ดีไม่แพ้ประเด็นของเรื่อง คือการแต่งหน้านักแสดงที่ยอดเยี่ยม ตามที่รู้ๆกันดีว่า ทั้ง6ยุคสมัยใช้นักแสดงชุดเดิม บางคนก็เล่นเป็นตัวเดิมเปลี่ยนเพียงแค่วัยเท่านั้น การเมคอัพในcloud atlas เห็นถึงความแตกต่างของแต่ภพจริงๆ ส่วนตัวแล้วชอบความต่างของเบดูนาในบทบาทของทิลด้ากับซอนมีมากกว่าคนอื่น บวกกับการแต่งหน้าเผ่ากินคนโดยเฉพาะหัวหน้าเผ่าที่มองแล้วดูน่ากลัวและน่าเกรงขามยิ่ง
สุดท้ายแล้วนี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงในเรื่องความยากในการเขียนบท แต่ตัวบทก็สามารถหาสิ่งที่เป็นตัวเชื่อมความเป็นไปในแต่ละสมัยได้นั่นคือ ข้อความบันทึก, จดหมาย , นวนิยาย , ความเชื่อเรื่องเทพซอนมี ทำให้คนดูพอปะติดปะต่อความเป็นไปของเรื่องได้ แม้จะตัดสลับไปเรื่อยๆจนทำให้คนดูบางส่วนตามเนื้อเรื่องไม่ทันก็ตาม แต่ถึงอย่างไรส่วนตัวแล้ว ชอบการปะติดปะต่อเรื่องด้วยอารมณ์เดียวกัน เช่นการกักขังหน่วงเหนี่ยวธีโมธีกับซอนมี หรือการหลบหนีของทั้งคู่
เมื่อเครดิตท้ายเรื่องขึ้นหากใครลุกออกจากโรงทันทีเรียกได้ว่าพลาดมากทีเดียว เพราะเครดิตตอนท้ายนั้นเฉลยทุกตัวละครให้เราดูทั้งหมด บอกตามตรงว่าเราเองก็ดูตัวละครทุกตัวไม่ออก ที่จำได้คือ4ตัวเท่านั้น หลังจากที่หนังเฉลยแล้วถึงได้รู้ว่ามันมีมากกว่าที่เราเห็น หลังจากดูจบแล้วพูดไม่ออกเลยทีเดียวเพราะต้องนั่งนึกย้อนไปถึงเรื่องราวทั้งหมดแล้วนำมาปะติดปะต่อทั้งหมดเข้าด้วยกัน
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมcloud atlasจึงเป็นหนังที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในตอนนี้ หนังไม่ได้ให้คำตอบเราว่า เราควรดำเนินชีวิตไปในทิศทางไหน แต่บอกเราให้ย้ำคิดย้ำทำในสิ่งที่จะทำ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เกิดผลกระทบกับคนต่อไป
ป.ล ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว