วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ParaNorman..แม่มดก็ไม่อยากถูกล่านะ


หนึ่งในภาพยนตร์การ์ตูนที่เข้าชิงOscarsปี2013ในสาขาแอนนิเมชั่นยอดเยี่ยม และเข้าชิงรางวัลบนเวทีอื่นๆอีกมากมาย ถึงแม้ว่าจะไม่โดดเด่นเท่ากับแอนนิเมชั่นอย่างBrave และ Wreck it ralph จากค่ายใหญ่อย่างWalt Disney แต่อีกเรืื่องที่มีเนื้อหาน่าสนใจและน่าเอามาพูดถึงกันคือ Paranorman ภาพยนตร์แอนนิเมชั่นแนวสยองขวัญจากFocus Pictures เพราะแอนนิเมชั่นเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การ์ตูนสำหรับเด็ก แต่เป็นการนำประเด็นความรุนแรงในสังคมยุโรปยุคมืดมาพูดถึงอย่างน่าสนใจ

'Paranorman' ของ Chris Butler เลือกหยิบประเด็น 'การล่าแม่มด' ที่เป็นเรื่องฉาวในสังคมยุโรปยุคกลางมาพูดถึงสังคมในยุคปัจจุบัน


ความเชื่อเรื่อง'การล่าแม่มด' เกิดขึ้นในปีช่วงของยุโรปยุคกลาง หรือในช่วงยุคมืดที่โป๊บยังคงมีอำนาจสูงสุดในการครอบงำประชาชน การล่าแม่มดก็มาจากคำสอนของโป๊บนั่นเอง มีความเชื่อที่ว่า "แม่มดนั้นเป็นบุคคลอันตราย เป็นผู้รับใช้ซาตาน มีจุดหมายเพือทำลายความดีงามของศาสนา และล่อลวงวิญญาณมนุษย์สู่ขุมนรก" ทำให้ในยุคนั้นสังคมยุโรปเต็มไปด้วยโรคระบาดและภัยธรรมชาติมากมายโดยฝีมือแม่มด

โดยแม่มดที่ว่าจะแฝงตัวมาเป็นผู้หญิง การสังเกตว่าใครคือแม่มดนั้นช่างง่าย เพียงสังเกตกับรูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิง คนที่ดูผิดปกติกว่าคนทั่วไป เช่นสวยเกินไป ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด บ้างก็เป็นกลุ่มหญิงชรา การกำจัดแม่มดจึงเป็นธรรมเนียมทางศาสนาที่ได้รับการเชื่อถือว่าสามารถขจัดภัยออกไปจากคริสตจักรในยุคนั้นได้ ด้วยประโยคที่ว่า "สูเจ้าต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต" โดยใครที่ถูกตัดสินว่าเป็นแม่มดจะถูกลงโทษจากศาลเตี้ย ให้นำตัวมาทรมานด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตกเล็บ แขวนประจาน ฯลฯ ที่ทำให้แม่มดได้รับความทรมานสูงสุดจนต้องยอมรับว่าตนคือแม่มด จากนั้นเหยื่อแม่มดจะถูกนำตัวไปเผาทั้งเป็นเพราะเชื่อว่านี่คือการปลดปล่อยแม่มดออกจากบ่วงที่หลุดไม่พ้น และยังเป็นการขจัดภัยร้ายออกจากสังคมของชาวคริสต์อีกด้วย ทำให้ในช่วงยุโรปยุคมืดมีผู้หญิงเป็นเหยื่อของคำว่า'แม่มด'ไปกว่าปีละ300คน ซึ่งในยุคต่อมาความเชื่อเรื่องการล่าแม่มดได้ลดน้อยลง และถูกต่อต้านจากคนทั่วไปมากขึ้นจนหายไปในที่สุด และคำอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆถูกแทนที่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

แม้ว่าในศตวรรษที่ 20 ความเชื่อเรื่องการล่าแม่มดจะสาบสูญไปแล้ว เหลือเพียงเรื่องเล่าที่เป็นนิทานสำหรับเด็กเท่านั้น แต่วัฒนธรรมการล่าแม่มดได้ปรับเปลี่ยนไปอยู่บนโลกไซเบอร์แทน กล่าวคือ ไม่ได้มีการล่าแม่มดตามความเชื่องมงายอีกต่อไป แต่ยังคงมีการตามรุมประณามผู้ที่ปฏิบัติตัวหรือมีความเห็นต่างไปในสังคม ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า'การล่า' คือการที่มีคนโพสด่าว่าผู้นั้นบนอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก บ้างตั้งกลุ่มต่อต้าน ซึ่งอาจเป็นไปในด้านการเมือง หรือการไม่เห็นด้วยในวัฒนธรรม และการปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเสียมาก
ขอขอบคุณ ผศ.พิจิตรา สึคาโมโต้ ที่ให้ความรู้ในเรื่องการล่าแม่มดในวิชาเรียนของผู้เขียน



ดังนั้น Paranorman จึงหยิบเรื่องราวของประเพณีที่โหดเหี้ยมนี้มาดัดแปลงเข้ากับยุคปัจจุบัน เรื่องราวของ "Norman" เด็กชายที่มีความสามารถพิเศษในการเห็นวิญญาณ ไม่มีใครสามารถเห็นวิญญาณได้ด้วยตาเปล่าทั้งๆที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่บนสังคมเดียวกับมนุษย์ธรรมดา ด้วยความสามารถพิเศษของNormanนี่แหละ ทำให้คนทั่วไปมองว่าNormanเป็นเด็กประหลาดทั้งเพื่อนที่โรงเรียนที่มาล้อเลียนเขาและเขียนบนตู้ล็อกเกอร์ของเขาทุกวัน ไม้เว้นแม้แต่ครอบครัวของเขาเอง ทั้งพ่อ แม่ และพี่สาว ที่ไม่เชื่อว่าเขาสามารถสื่อสารกับคุณย่าที่เสียชีวิตไปแล้วได้ เขาจึงไม่เพื่อนแม้แต่คนเดียว นอกจาก "Neil" เพื่อนตัวอ้วนของเขาที่สามารถมองข้ามความแปลกของเด็กชายตาทิพย์คนนี้ได้

เรื่องราวไม่น่ามีอะไรประหลาดหากคุณลุงของNorman "Mr. Prenderghast" บุคคลที่ถูกชาวบ้านมองว่าเป็นตัวประหลาด เสียสติ ไม่มาทักทายหลานชายให้ช่วยสืบสานหน้าที่การอ่านนิทานกล่อมแม่มดในป่าของเขาก่อนที่เขาจะตายจาก หนุ่มน้อยNormanจึงต้องทำหน้าที่แทนคุณลุงเจ้าปัญหา แต่เรื่องราวที่น่าจะจบลงด้วยดีหลังจากเขาอ่านนิทานจบกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาดันเข้าไปในป่าผิดแห่ง ทำให้กลุ่มผีดิบคืนชีพขึ้นมา สร้างความหวาดผวาให้กับชาวบ้าน ต้องหาทางกำจัดเจ้าตัวที่ทำลายความสงบสุขในชุมชนออกไปซะ

สุดท้าย Norman ค้นพบว่า แม่มดที่ว่านั้นคือ เด็กผู้หญิงตัวน้อยวัยเดียวกับเขา ที่ถูกศาลเตี้ยตัดสินว่าเป็นแม่มดในสมัยก่อนที่ยังมีการล่าแม่มดอยู่ ไม่ว่าเด็กน้อยจะพยายามแก้ตัวเช่นไรก็ไม่เป็นผล เธอจึงถูกนำตัวไปฆ่าอย่างน่าสงสาร ความแค้นที่เธอมีต่อกลุ่มคนเหล่านี้ก่อนตายหมายจะมาแก้แค้นแม้ว่าจะตายไปแล้ว ทำให้กลุ่มคนที่มีตาทิพย์จำต้องทำมนต์สกัดให้เธอหลับไหลทุกปี เพื่อไม่ให้สร้างความหายนะให้ชาวบ้าน ด้วยการอ่านนิทานในหนังสือต้องมนต์กล่อมให้เธอหลับ หน้าที่นี้ได้ส่งผ่านมือต่อมือมานับไม่ถ้วนจนถึงคุณลุงเพี้ยนและNorman

แต่Normanกลับเลือกทำสิ่งที่ต่างออกไปจากการสืบทอดผู้อ่านนิทาน เขาเห็นถึงความอยุติธรรมของศาลเตี้ย พวกเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่า คนที่แปลกจากพวกเขานั้นเป็นภัย หากมองให้ดีๆ ทั้งแม่มดน้อยและกลุ่มผีดิบจำนวนมากที่ฟื้นขึ้นมาไม่ได้มีอันตรายใดใดเลย พวกเขามีความรู้สึกเช่นพวกเราทุกคน เพียงแค่พวกเขาอาจมีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนจำนวนมาก เขาจึงเลือกที่จะทำความเข้าใจกับมนุษย์ที่ยังมีเลือดเนื้อก่อนที่จะช่วยปลดปล่อยพวกผีให้เป็นอิสระ

สิ่งที่หนังเด็กที่ไม่ใช่แค่หนังเด็กอยากตั้งคำถามถึงสังคมตอนนี้คือ การล่าแม่มด หรือคนที่มีความแปลก ประหลาดในสังคมตั้งแต่ในอดีตจนถึงทุกวันนี้ ต้นเหตุมาจากพวกเขาหรือว่าเป็นพวกเราเองที่สร้างความกลัวขึ้นมา แต่สุดท้ายความกลัวที่สร้างขึ้นมานั้นไปตกอยู่ที่เหยื่อที่ถูกตัดสินว่าเป็นแม่มด

หากสังเกตดูจากที่ตัวหนังสื่อในฉากเปิดเรื่องที่ Norman กำลังนั่งดูการ์ตูนเกี่ยวกับผีซอมบี้ตามล่ากินสมองผู้หญิงคนหนึ่งอย่างน่ากลัว หากดูในฉากนั้นจะรู้สึกได้ว่า หนังที่ Norman กำลังดูนั้นน่ากลัวมากกว่า Paranorman ทั้งเรื่องเสียอีก หรือนี่คือสิ่งที่เราสั่งสมกันมาตั้งแต่ยังเด็กว่า คำว่า "ผี" "ซอมบี้"เป็นสิ่งที่น่ากลัว เขาจะมาฆ่าเรา ทำให้เมื่อใดก็ตามที่พูดถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความลี้ลับ จึงมักเป็นเรื่องน่ากลัวขึ้น ทั้งๆที่แต่ก่อนพวกเขาก็เคยมีชีวิตอย่างเราๆนี่เอง ซึ่งสักวันหนึ่งสิ่งมีชีวิตทุกอย่างก็อาจกลายเป็นหนึ่งในพวกเขาเช่นกัน หากพวกเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบคงไม่มีเรื่องราวที่น่าสลดใจเกิดขึ้น
นอกจากกลุ่มซอมบี้แล้ว หนังยังแสดงให้เห็นถึงกำแพงกั้นระหว่างความคิดของผู้คนที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่แปลกไปจากตน ทั้ง Norman และ Mr. Prenderghast ที่เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่กลับถูกต่อต้านจากสังคม

โดยรวมแล้ว Paranorman เป็นภาพยนตร์ที่ผู้เขียนชอบมากทีเดียว เพราะเนื้อหาและประเด็นมีความหนักแน่นพอที่จะสื่อถึงปัญหาที่ยังคงเรื้อรังในสังคมโลกมาช้านาน หากมีคนอย่างเจ้าหนู Norman สักคน โลกนี้คงน่าอยู่มากขึ้นอีกมากทีเดียว


เพิ่มเติม
นอกจาก Paranorman แล้ว ภาพยนตร์แอนนิเมชั่นที่พูดถึงความไม่ยอมรับในความแตกต่างและการสร้างความหวาดกลัวนั้น ในปี 2012 ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจาก Columbia Picture นั่นคือ 

Hotel Transylvania เรื่องราวของโรงแรมผีที่มีเจ้าของเป็นแวมไพร์ สาเหตุที่เกิดโรงแรมนี้ขึ้น เป็นเพราะ "Dracula" ตัวเอกของเรื่องไปรักกับหญิงสาวมนุษย์ จนเกิด "Mavis" ลูกสาวครึ่งคนครึ่งค้างคาวขึ้น แต่ชาวบ้านในละแวกนั้นกลับหวาดระแวง มองว่าพวกเขาจะนำความหายนะมาสู่หมู่บ้าน จึงทำให้ชีวิตพวกเขาต้องมาเปิดโรงแรมกลางป่าลึกที่มนุษย์ยากจะเข้าถึง ที่นี่จึงกลายเป็นศูนย์รวมผีนานาชนิดที่ชาวบ้านหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็น Frankenstein หรือ Mummy และอีกมากมาย

สิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมคือ เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความกลัวในผีดูดเลือดและผี ปีศาจเริ่มลดน้อยลง เมื่อพวกเขาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านในอีกหลายร้อยปีให้หลัง กลับพบว่าพวกเขากลายเป็นพระเอกของงาน เด็กหลายคนแต่งตัวเป็นพวกเขา มีพวกเขาเป็นฮีโร่ในใจ





ป.ล ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว