วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ตุ๊กตาบาร์บี้เตรียมถูกปรับโฉมให้มีรูปร่างคล้ายผู้หญิงจริงมากขึ้น




ที่ผ่านมาตุ๊กตาบาร์บี้นั้นถูกออกแบบให้มีโครงสร้างร่างกายผอมเพรียวมาตั้งแต่ค.ศ.1959 โดยเฉพาะการไม่มีโครงกระดูกเหมือนมนุษย์ หรือต้นขา แถมเอวยังคอด แขนเล็ก ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าเป็นการสนับสนุนเด็กผู้หญิงให้มีภาพลักษณ์เกี่ยวกับเรือนร่างที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากจะทำให้สุขภาพไม่ดี
หลังจากนี้บริษัทแมตเทล บริษัทผู้ผลิตบาร์บี้ จึงประกาศผ่านเว็บไซต์ของบริษัทและนิตยสารไทม์ เตรียมออกตุ๊กตาบาร์บี้รูปแบบใหม่ ที่มีโทนสีผิวใหม่ 7 ระดับ รูปร่าง 4 แบบ(อาจผอมแห้ง จนถึงขั้นอวบและมีพุง) ดวงตา 22 สี และทรงผมแบบใหม่ถึง 24 ทรง หลังจากปีที่แล้วที่เพิ่งปรับใหม่บาร์บี้ใส่รองเท้าพื้นราบ ที่นางถูกออกแบบให้ยืนบนรองเท้าส้นสูงมาตลอด 50 กว่าปี (ถอดปุ๊บนางคงรู้สึกเย็นเท้าพิลึก อารมณ์คนเพิ่งถอดรองเท้าส้นสูง)
บริษัทผู้ผลิตยังบอกอีกว่า ครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนโฉมบาร์บี้ครั้งใหญ่ ที่สะท้อนเรื่องรูปร่างให้เด็กและหญิงสาวทั่วโลกที่ตรงกับความเป็นจริง เพื่อให้พวกเธอรู้สึกถึงความงามของรูปร่างและสุขภาพดีที่ถูกต้อง
โดยที่มาของการเปลี่ยนโฉมตุ๊กตาบาร์บี้นั้น มาจากตามปกติบาร์บี้จัดเป็นตุ๊กตาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เฉลี่ยได้ว่าทุกทุก 1 วินาทีสามารถขายตุ๊กตาบาร์บี้ได้ถึง3ตัว แต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมายอดขายบาร์บี้ตกลงถึงร้อยละ 14
ผิดพลาดตรงไหนขออภัยค่ะ
 http://www.theguardian.com/lifeandstyle/2016/jan/28/barbie-finally-becomes-a-real-girl-with-more-realistic-figure-and-skin-colours?CMP=fb_a-culture_b-gdnculture
http://edition.cnn.com/2016/01/28/living/gallery/barbie-dolls-body-shapes/index.html




บาร์บี้เมื่อปี 1959




บาร์บี้รุ่นใหม่ที่มีรูปร่างอวบ

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

จิตรกรฝรั่งเศสในปี1900 วาดภาพจินตนาการโลกในปี2000

Jean-Marc Côté และจิตรกรชาวฝรั่งเศสคนอื่นๆยุคค.ศ. 1899 1900 1901 และ1910 ร่วมกันวาดภาพจินตนาการโลกฝรั่งเศสในยุค2000

โดยส่วนใหญ่จินตนาการให้เครื่องมือต่างๆมีความทันสมัยมากขึ้น เช่นการเรียนผ่านเครื่องอ่านหนังสืออัตโนมัติ หุ่นยนต์ทำความสะอาดหรือแม้แต่การทำกิจกรรมต่างๆบนท้องฟ้า

ซึ่งมีทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เช่นเฮลิคอปเตอร์ หรือ เรือเหาะซึ่งเคยถูกใช้งานในระยะหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีการใช้งานแล้วเนื่องจากเหตุการณ์เรือเหาะฮินเดนเบิร์กระเบิดในปี1937 และรถสำหรับรบที่ปัจจุบันได้เกิดเครื่องบินรบแทน

กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น ปีกขนาดเล็กที่สามารถนำมาใช้ในธุรกิจต่างๆ ทั้งการส่งจดหมาย หรือ การดับเพลิง

ส่วนโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ยังไม่ถูกใส่เข้าไปในจินตนาการของจิตรกรเมื่อพันกว่าปีก่อน

ซึ่งภาพทั้งหมดถูกนำไปเผยแพร่และตีพิมพ์ครั้งแรกบนกล่องบุหรี่กับซิการ์ ในการแสดงนิทรรศการโลกยุค1900ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะถูกนำมาตีพิมพ์เป็นโปสการ์ดในเวลาต่อมา

ขอบคุณ ภาพจาก the independent ว่าง ไปเจอในข่าว เลยเอามาเขียนเล่น ผิดถูกต้องขออภัยคับผม

http://www.independent.co.uk/life-style/gadgets-and-tech/news/paintings-reveal-what-people-in-1900-thought-the-year-2000-would-look-like-a6680196.html

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

ภารกิจครั้งใหม่กับเพื่อนคนเดิมของCaptain America


ภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องใหม่ของค่ายMarvel Studio สำหรับCaptain America : The Winter Soldier โดยภาคนี้เป็นภารกิจครั้งใหม่ของหนุ่มหล่อจากเมื่อ70ปีก่อน ในการทำลายหน่วย S.H.I.E.L.D ซึ่งมีผู้ประสงค์ร้ายบงการอยู่ภายใน ครั้งนี้นายใหญ่ของหน่วยอย่าง Nick Fury ก็ถูกเล่นงานสาหัส ประโยคเดียวที่Steve Rogersได้รับจากNick คือ "การไม่ไว้ใจใครก็ตาม" เพราะคนที่เราไว้ใจอาจหักหลังเราได้ทุกเมื่อ
หลังจากนั้นก็เป็นภารกิจที่สำคัญในการล้มหน่วยS.H.I.E.L.D และHydra  เพื่อปกป้องโลกเอาไว้ โดยมีพันธมิตรอีกสองคน คือ Natasha Romanoff หรือ Black Widow กับ Sam Wilson หรือ Falcon คอยช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ

เนื้อเรื่องโดยมากของCaptain Americaภาคใหม่นี้ มุ่งประเด็นหลักไปที่ความไว้วางใจ การเชื่อใจ โดยเอาความมั่นคงในจิตใจของตัวละครหลักอย่างSteve Rogersเป็นส่วนดำเนินเรื่อง ทั้งวาจาสุดท้ายของNick และเพื่อนเก่าในอดีตอย่าง Bucky Barnes หรือ Winter Soldierที่มาเป็นอาวุธหลักของทางฝั่งS.H.I.E.L.D 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดขายหลักของMarvel ไม่ได้อยู่ที่การสะท้อนประเด็น การให้แง่คิดกับคนดู เป็นเพียงการแฝงเอาไว้กับภาพยนตร์เท่านั้น สิ่งที่ภาพยนตร์เน้นเป็นจุดเด่นตลอดการดำเนินเรื่องคือความสนุก ความรู้สึก ความสมจริงของคนดู ซึ่งทั้งเรื่องปราศจากเนื้อหาที่มีความรุนแรง หรือคำหยาบคายใดใด มีแค่ฉากหวาดเสียวที่เน้นความมันส์น่าลุ้น
เนื้อหาในภาคนี้ มีทั้งความดราม่า ประเด็นน่าสงสัย และการต่อสู้ที่ดุเดือด มารวมกันอยู่ในนี้ สิ่งที่เป็นcaptain america ภาคใหม่ นอกจากนี้ เรื่องของกราฟฟิค ซีจี เทคนิคพิเศษต่างๆนั้นมาอย่างครบเรื่อง ทำให้ดูภาพยนตร์ได้ไม่ขัดตาตลอด2ชั่วโมงกว่า แถมยังมีเรื่องสาวๆมาให้แฟนคลับcaptainสุดหล่อมาจิ้นกันเล่นๆ
ถึงอย่างไร ภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อตอนว่า "Winter Soldier" เนื้อหาทั้งหมดดูจะมีหลายประเด็น ทำให้เรื่องของ "มัจจุราชอหังกา"ที่ถูกระบุไว้ดูน้อยไปกว่าที่ควร ในส่วนนี้เข้าใจว่าอาจเป็นเป้าหมายในการต่อเนื้อหาไปภาคถัดไป แต่ถึงอย่างไรเรื่องราวของตัวละครแขนเหล็กนี้ก็น่าจะควรมากกว่าเสียหน่อย และยังแอบคิดเล็กๆว่า ช่วงหลังMarvelดูทำภาพยนตร์ที่เน้นไปในทาง3มิติมากเกินไป หลายๆฉากรู้สึกว่าคนที่ดูแบบ2มิติจะเสียเปรียบกว่ากลุ่มที่ดู3มิติมาก เพราะจะรู้สึกเฉยๆหรือดูไม่ทันอย่างไรก็ตามที่ได้กล่าวมาก็ไม่ได้ทำให้ภาพยนตร์ดูขาดอรรถรส หรือไม่สมเหตุสมผลเลย


สรุปได้ว่า ใครที่อยากดูฉากฮีโร่เท่ๆ ของcaptain america หรือblack widowก็ไม่ผิดหวัง เพราะเรื่องนี้จัดเต็ม และยังดูมีสาระมากกว่าเรื่องอื่นๆ
อันนี้เนื้อหาดูน้อย เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรดี ซอรี่ๆจ้า
ป.ล. เนื้อหาทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โลกที่พลิกไปไม่เป็นท่าของ “Upside Down”






ช่วง20ปีที่ผ่านมาเรื่องราวความรักของชนชั้นที่แตกต่างนั้นถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็น "Titanic” ที่เป็นความรักระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นล่าง หรือ “Warm Bodies” ความรักระหว่ามนุษย์และซากศพ ซึ่งต่างได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี
            ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากที่เนื้อหาภาพยนตร์สะท้อนถึงความเป็นจริงในสังคมโลกที่กำลังเกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม อีกทั้งระบบต่างๆในสังคมได้บีบคั้นให้กฎเกณฑ์ต่างๆเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงความรักเช่นเดียวกัน

            “Upside Down นิยามรักปฏิวัติสองโลก”  ภาพยนตร์โรแมนติกเชิงวิทยาศาสตร์ ที่หยิบเอาของคู่รักที่มีชีวิตอยู่คนละทิศโลก คนละดวงดาว แต่อยู่บนท้องฟ้าผืนเดียวกัน ทำให้ทั้งสองโลกเป็นด้านบนของกันและกัน
แม้โลกทั้งสองจะอยู่ติดกัน แต่กลับไม่ได้มีความเท่าเทียมกัน เมื่อโลกใบหนึ่งกลับเอาเปรียบอีกฝั่งอย่างเห็นได้ชัด
            โลกด้านบนของ 'อีเดน' ตัวละครฝ่ายหญิง คือโลกของ 'นายทุน' ที่เต็มไปด้วยความเพียบพร้อม ผู้คนบนโลกอาศัยอย่างสุขสบาย ต่างจากโลกของ 'อดัม' ที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นโลกของ 'กรรมกร' ได้รับความไม่เท่าเทียม ผู้คนในโลกถูกตราหน้าจากโลกอีกฝั่งว่าเป็นชนชั้นที่ไม่ได้รับการขัดเกลาทางสังคม ในขณะที่โลกด้านบนได้ดูดซึมเอาพลังงานจากโลกแห่งนี้ไปแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า แล้วขายกลับมายังโลกด้านล่างในราคาที่สูงลิบลิ่ว ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ผู้คนบนโลกด้านล่างยากจน มีชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก
            ในภาพยนตร์แสดงถึงความเอารัดเอาเปรียบจากโลกด้านบนสู่โลกด้านล่่างได้อย่างชัดเจน เห็นได้จากองค์กร“ทรานส์เวิร์ล” องค์กรใหญ่ที่มีตึกเชื่อมโลกทั้งสองเข้าด้วยกัน มีประธานบริษัทเป็นบุคคลของโลกด้านบน และมอบตำแหน่งสำคัญให้แก่คนโลกด้านบนเท่านั้น ส่วนคนโลกด้านล่างเป็นเพียงพนักงานทั่วไป และต้องถูกตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดทุกครั้งที่เข้าออกสำนักงาน ที่สำคัญคือเป็นองค์กรหลักของกลุ่มนายทุนที่กำลังดูดเอาพลังงานต่างๆของโลกเบื้องล่าง
กฎเหล็กของสองโลกคือการห้ามประชาชนในโลกทั้งสองติดต่อหรือยุ่งเกี่ยวใดใดต่อกัน แต่ถึงอย่างไรกฎเกณฑ์นั้นก็ไม่อาจขวางกั้นความรักได้ อดัมและอีเดนพบกันบนเทือกเขาสูงโดยบังเอิญ ทำให้เกิดขึ้นเป็นความรัก แม้ว่าจะมีแรงโน้มถ่วงที่เป็นอุปสรรคไม่ให้ทั้งคู่สามารถคบหากันได้เหมือนหนุ่มสาวทั่วไป ความรักที่เป็นไปไม่ได้จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้อดัมต้องการค้นหาความสมดุลของสถานะแรงโน้มถ่วงที่จะช่วยให้คนทั้งสองโลกมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
            ท้ายที่สุดความสมดุลที่ว่าก็ถูกค้นพบขึ้น โดย "เจ้าผึ้งสีชมพู” และ"ผงสีชมพู" สมบัติลับของอดัมและบ๊อบ เพื่อนร่วมงาน โดยการนำสสารทั้งสองมารวมเข้าด้วยกันทำให้คนจากโลกหนึ่งสามารถไปใช้ชีวิตอีกโลกหนึ่งได้โดยไม่ต้องกังวลต่อกฎของแรงโน้มถ่วง และหนุ่มสาวทั้งสองก็สมหวังในความรัก แต่ไม่ใช่เพราะความสมดุลที่ถูกค้นพบ แต่กลับเป็นอีเดนตั้งครรภ์ขึ้น ทำให้เกิดความสมดุลในตัวมนุษย์ทั้งคู่จึงรักกันได้โดยไม่ต้องกลับหัวให้ผิดทิศผิดทางอีกต่อไป
            ด้านองค์ประกอบทั่วไปของภาพยนตร์ถือได้ว่า มีการควบคุมการผลิตได้ดี ทั้งเทคนิคพิเศษบวกกับการคุมโทนสีของภาพยนตร์ แม้จะไม่อยู่ในขั้นดีเลิศ แต่ถือว่าสามารถเสริมให้ภาพดูสบายตาและสวยงาม
            แต่สิ่งที่ทำให้ขาดอรรถรสในการชมคือ การดำเนินเรื่องอย่างเรียบเฉยที่ไม่มีจุดสำคัญสูงสุดของเหตุการณ์ที่ทำให้คนดูรู้สึกลุ้นหรือตื่นเต้นใดใดตลอดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง และการทิ้งคำถามโดยไม่ให้คำตอบแก่ผู้ชม
            บทภาพยนตร์และการลำดับเรื่องกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ฆ่าภาพยนตร์เรื่องนี้เสียเอง เนื่องจากภาพยนตร์ได้ตั้งคำถามขึ้นแต่กลับไม่ให้คำตอบเลยแม้แต่ข้อเดียว กลับกลายเป็นว่าได้เพิ่มคำถามมากขึ้นให้กับคนดูจนยิ่งไม่รู้สึกร่วมใดใดไปกับความรักของคนทั้งสอง
            ตอนจบของเรื่องถือได้ว่าเป็นการจบที่เต็มไปด้วยคำถาม เรียกได้ว่าเป็นการจบที่ยังไม่ถึงช่วงที่ควรจบเนื่องจากเนื้อเรื่องที่พูดถึงระบบทุนนิยมมาตั้งแต่แรกเริ่ม อีกทั้งครอบครัวของอดัมก็ได้รับผลกระทบจากระบอบนี้ รวมถึงอดัมที่พยายามต่อสู้กับกฎเกณฑ์ต่างๆมาตลอด แต่การต่อสู้และความไม่เท่าเทียมที่ว่ากลับไม่ถูกให้คำตอบใดใด ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ถูกปูเรื่องมาแต่แรกยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไข ตอบโจทย์เพียงความรักที่สมหวังของคนทั้งคู่แล้วจบอย่างไม่ทันตั้งตัวท่ามกลางความงงงวยของคนดู
            "เจ้าผึ้งสีชมพู” และ"ผงสีชมพู" คือกุญแจหลักในการนำไปสู่ "ความสมดุล" ระหว่างโลกทั้งสอง ซึ่งเป็นสมบัติที่เก่าแก่ในตระกูลของอดัมและบ๊อบที่ถูกเก็บเป็นความลับตั้งแต่เริ่มเรื่อง ซึ่งภาพยนตร์ก็ไม่ได้เฉลยที่มาที่ไปของเจ้าผึ้งนี้ว่ามีที่มาจากไหน ที่สำคัญคือเมื่อความสมดุลของแรกโน้มถ่วงถูกค้นพบย่อมเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยสองโลกให้เท่าทเียมขึ้นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้ก็และภาพยนตร์กลับไม่ได้เฉลยที่มาที่ไปของเจ้าผึ้งนี้ว่ามีที่มาจากไหน
            ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์รักที่เล่นกับหลักการต่างๆทางวิทยาศาสตร์แต่ยังขาดเหตุผล ขาดความเป็นไปได้ในความเป็นจริง
            ปรากฎการณ์การหมุนโคจรของดาวทั้งสอง ที่ในตอนต้นของภาพยนตร์ได้กล่าวว่า ดาวทั้งสองอยู่ในจักรวาลเดียวกันและโคจรรอบดวงอาทิตย์คนละทิศทาง แต่เวลาของดวงดาวทั้งคู่ช่วงกลับตรงกันทั้งกลางวัน-กลางคืน จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่ดูขัดแย้งในตัวเองอย่างยิ่ง และที่สำคัญหากโคจรคนละทิศทางแล้ว ดวงดาวทั้งสองก็ไม่น่าพบเจอกันได้เลย
            ภาพยนตร์ต้องการเน้นไปเพียงความรักที่ฝ่ากฎเกณฑ์ต่างๆ แม้จะเป็นกฎธรรมชาติ หากมองเพียงความรักก้สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูได้ดี แต่เมื่อมองให้ลึกถึงเนื้อในแล้ว พล็อตเรื่องที่วางไว้กลับพลังทลายไม่เป็นท่า
            Upside Down นิยามรักปฏิวัติสองโลก จึงดูเหมือนเป็นการปฏิวัติตัวเองจนเนื้อเรื่องพลิกไปไม่ถูกทิศทาง น่าเสียดาย ที่ภาพยนตร์ที่มีแนวคิดน่าสนใจและมีเนื้อหาแฝงความแตกต่างในสังคม เรียกได้ว่ามีทุนดีอยู่ในมือ แต่กลับถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดี หากเนื้อเรื่องสามารถโยงความรักให้เสริมกันกับระบบทุนนิยมได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกลายเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่สะท้อนความจริงในสังคมผ่านเนื้อหาแฟนตาซีที่ดีในระดับหนึ่งทีเดียว

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

วิเคราะห์ : เหตุผลที่พาพี่มาก...พระโขนง ประสบความสำเร็จ


ภาพยนตร์สุดฮอตเรื่องใหม่จากฝีมือผู้กำกับคุณภาพอย่าง "บรรจง ปิสัญธนะกูล" จากภาพยนตร์ยอดนิยมอย่าง "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" , "กวน มึน โฮ" , "แฝด" และล่าสุดกับ"พี่มาก...พระโขนง" ที่ได้ทำปรากฏการณ์ภาพยนตร์ไทยที่มีรายรับในประเทศทะลุสี่ร้อยล้านบาทไปเรียบร้อย ซึ่งตามความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีภาพยนตร์ที่สามารถทำรายรับได้เกินหนึ่งร้อยล้าน แต่พี่มากพระโขนงนั้นได้กลายเป็น1ใน5เรื่องของภาพยนตร์ไทยที่สามารถทำรายรับในประเทศได้เกินสองร้อยล้านบาท
สำหรับพี่มาก...พระโขนงนี้ ได้หยิบเอาเรื่องราวตำนานความรักของ "แม่นาค" มาตีความในมุมมองของ "นายมาก" ชายผู้เป็นสามีของแม่นาค ผ่านความเป็นดราม่าคอมเมดี้ของตัวภาพยนตร์

หากถามว่า ทำไมภาพยนตร์ "พี่มาก...พระโขนง" จึงประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดที่เรียกได้ว่า "เทน้ำเทท่า"เช่นนี้ เราคงมองได้ถึงหลายองค์ประกอบที่ช่วยส่งให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ยอดรายรับที่บินทะลุเป้า

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความนิยมในผู้กำกับที่มีชื่อจากภาพยนตร์ดังหลายเรื่องก่อนหน้านี้ บวกกับการเขียนบทของ"เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี" ที่มีเครดิตจาก"กวน มึน โฮ" มาก่อน

อีกเรื่อง คือตำนานความเป็นอมตะอยู่คู่กับคนไทยมานานของ "แม่นาคพระโขนง" ที่ถูกเล่าขานกันปากต่อปาก ถึงความน่ากลัวและความมั่นคงในความรักของแม่นาค จนมีผู้นำมาทำเป็นภาพยนตร์ ละครทีวี และละครเวทีอยู่หลายต่อหลายครั้ง เรียกได้ว่าแทบทุกปีจะต้องมีเรื่องราวของแม่นาคมาสร้างใหม่ให้เราได้ชมกันอยู่ตลอด และยังได้รับความสนใจจากผู้ชมมากมายทุกๆครั้ง จึงไม่แปลกที่ "พี่มากพระโขนง" ซึ่งนำตำนานของแม่นาคมาถ่ายทอดในอีกมุมมองจะได้รับความสนใจจากผู้ที่เคยได้ยินเรื่องราวของแม่นาคมาก่อน และการเปลี่ยนชื่อเรื่องจาก​"แม่นาค" เป็น "พี่มาก" ย่อมดึงดูดความสนใจและสร้างความคาดหวังในตัวเรื่องมากขึ้น

ช่วงเวลาเข้าฉายของพี่มากฯ เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เหมาะเจาะกับที่ไม่มีภาพยนตร์เฮฮาคลายเคลียดเรื่องอื่นทั้งไทยและเทศเข้าฉาย ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา นอกจากภาพยนตร์แนวรักวัยรุ่น และภาพยนตร์บู๊ล้างผลาญแล้ว แทบจะยังไม่มีภาพยนตร์ตลกที่ทำเบาสมองเข้าฉายเลย การที่พี่มากฯมาเข้าฉายช่วงปลายเดือนมีนาฯ ยังเป็นช่วงที่ "ไร้คู่แข่ง" นอกจากจะเป็นช่วงที่คนกำลังต้องการดูอะไรที่ผ่อนคลายความเครียดแล้ว ยังเป็นช่วงที่กลุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่อยู่ในช่วงปิดเทอม ทั้งมัธยมฯและมหาวิทยาลัย บวกกับความนิยมของชาวไทยที่ชอบดูสิ่งนันทนาการแนวตลกเบาสมอง พี่มากฯ จึงเป็นทางเลือกหมายเลขหนึ่งสำหรับคนที่กำลังมองหาภาพยนตร์เข้าใหม่ในช่วงนี้ 



อีกทั้งในทศวรรษ2010นี้ พระเอกหนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมันอย่าง"มาริโอ้ เมาเร่อ"ได้เป็นพระเอกในอันดับต้นๆของวงการภาพยนตร์ไทยไปแล้ว ใน1ปี จะต้องมีภาพยนตร์ที่หนุ่มโอ้นำแสดงเข้าฉายไม่ต่ำกว่า2เรื่อง ที่ผ่านมาภาพยนตร์ที่เขาแสดงต่างประสบความสำเร็จอย่างสวยงามหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น "รักแห่งสยาม" "สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า...รัก" และ "จัน ดารา" แถมกลุ่มแฟนคลับของนายมาริโอ้เองก็ไม่ใช่กลุ่มเล็กๆ ทางด้านนางเอกสุดสวยอย่าง "ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่" ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น อีกทั้งเป็นช่วงที่สาวใหม่กำลังงานชุก แม้จะมีข่าวไม่เว้นแต่ละวัน แต่สาวใหม่ก็ยังมีผู้ติดตามชื่นชอบมากมาย ตัวพระนางคู่นี้จึงเป็นหนึ่งแรงดึงดูดผู้ชมในการซื้อตั๋วเข้าชม


นอกจากเนื้อหาในเรื่องจะมีมุขมากมายที่ถูกใจคนดูแล้ว หนังยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย ไม่เพียงแค่เป็นการเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อย่างไม่น่าเบื่อ แต่ยังเป็นการเอาเรื่องเก่ามาเล่าในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และตอนจบของเรื่องยังถูกใจคนไทยส่วนใหญ่ที่ชอบเรื่องราวที่จบแบบมีความสุข


หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับดีเกินคาด ถึงขนาดมีผู้ที่ดูแล้วเลือกเข้าไปดูหนังอีกหลายรอบ และยังมีผู้ที่นานนานครั้งจะเข้าโรงภาพยนตร์ หลังจากได้ยินคำนิยมจากนักวิจารณ์และนักดูหนังหลายๆคน พี่มากฯจึงเป็นสิ่งที่ตัดสินใจให้ผู้ชมเข้าไปชม และเป็นตัวอธิบายว่า ทำไมหนังเรื่องนี้เข้าโรงมากว่า2สัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังมีผู้ชมเข้าไปนั่งดูอยู่เต็มโรง เหตุผลเล็กๆอีกเรื่อง (เขียนเมื่อวันที่8เม.ษ 56)





ป.ล ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว