ต้องบอกเลยว่า ช่วงเดือนธันวาคมเป็นช่วงเทศกาลหนังน่าดูจริงๆ หนึ่งในนั้นคือ Cloud Atlas หยุดโลกข้ามเวลา โดยเฉพาะปลายปี2555 ที่เข้าใกล้สู่วันสำคัญที่คนส่วนหนึ่งเชื่อว่าคือวันแห่งการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโลก
รุปแบบของหนังคล้ายกับBabelอยู่เนืองๆ ที่มีหลายเรื่องรวมกันอยู่ในนั้นโดยที่ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกัน เรื่องราวของCloud Atlas ประกอบไปด้วยเรื่องราวของ6 ยุคสมัย และเล่าเรื่องสลับไปสลับมา จนคนที่ไม่ตั้งใจดูอาจจะงงกับเนื้อเรื่องได้ มีที่มาจากนวนิยายไซไฟของDavid Mitchell มาสู่ภาพยนตร์บนจอแก้วด้วยฝีมือกำกับและเขียนบทของสองพี่น้องWachowski ที่เคยฝากฝีมือไว้ในThe Matrix
เรื่องราวของทั้ง6ภพ ได้แก่
- "The Pacific Journal of Adam Ewing" ทนายหนุ่มไม่ถือตัวผู้เป็นมิตรกับทาสผิวดำ
- "Letter from Zedelghem" นักแต่งเพลงผู้นิยมชายรักชาย
- "Half-Lives: The First Luisa Rey Mystery" นักข่าวหญิงผู้ต้องการประกาศเรื่องธุรกิจมืด
- "The Ghastly Ordeal of Timothy Cavendish" ชายสูงอายุที่ถูกกักขังอิสรภาพ
- "An Orison of Sonmi~451" มนุษย์ดัดแปลงกับชายผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงโลก
- "Sloosha's Crossin' an' Ev'rythin' After "คนป่ากับหญิงสาวที่ตามหาบางสิ่ง
เรื่องราวทั้ง6ถูกเล่าขึ้นมาพร้อมๆกันเริ่มตั้งแต่zachry ในวัยคุณปู่นั่งมองดาวหางบนฟากฟ้า พูดถึงการผจญภัยอันยาวนานของโลกใบนี้ จากนั้นหนังจึงค่อยเล่าเรื่องทั้งหมดทีละนิดๆ
หากนับจากปัจจุบันนี้เป็นหลักเราจะเห็นยุคของ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคมที่มีการแบ่งชนชั้น คนดำยังตกเป็นทาสของคนขาว คนดำไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีสิทธิเสรีภาพใดใดถูกย่ำยีถูกฆ่าตายหากไม่พอใจ
ช่วงที่เพศที่สามยังขาดโอกาสในการแสดงออก การกดขี่และเอาเปรียบ ความไม่พอใจในตนเอง รวมถึงการขโมยผลงาน ในสังคมยังคงมองไปที่ความรักระหว่างชายหญิงเป็นหลัก ส่งผลให้ทั้งหมดกลายเป็นความกดดันและจุดจบของชีวิต
มาถึงช่วงที่ผิวสีเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากคนรุ่นก่อนทำให้เป็นพลังในการต่อสู้ เห็นได้จากตัวเอกของเรื่อง ส่งผลให้ไม่ท้อถอยในหน้าที่การงานและการดำเนินชีวิต แต่ก็ไม่วาย ที่ยังพบกับการทำความชั่วของคนมีอำนาจอยู่ดี ทำให้มีการสั่งฆ่าคนที่รู้เรื่องราวนี้
ส่งผลมาถึงยุคปัจจุบันที่ยังคงเกิดการทุจริตคดโกงในสังคม เกิดนายทุน เกิดเจ้าหนี้-ลูกหนี้ เห็นได้ว่ายุคนี้ สังคมเริ่มเปลี่ยนไปจนมาถึงยุคของ โลกาภิวัตน์แล้ว จากเดิมที่เกย์ยังต้องอยู่อย่างหลบซ่อนไม่สามารถบอกกล่าว แต่ทุกวันนี้ผู้ชายสามารถสวมชุดสตรีเดินไปเดินมาในเมืองได้ แต่ผู้สูงอายุขาดอิสรภาพในการดำรงชีวิต ครอบครัวเริ่มแตกหัก ไม่มีครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นอีกต่อไปแล้ว

จนในที่สุดโลกหันกลับเข้ามาสู่ความดั้งเดิมคล้ายสมัยก่อนเกิดอารยธรรม แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมคือ ทุกคนมีความชั่วมากขึ้น ทุกคนมีความชั่วสะสมในตัว เพียงแต่ว่าเราจะนำมันออกมาใช้หรือไม่ หนังต้องการบอกเราว่าเราทุกคนมีทางเลือกว่าจะทำดีหรือชั่ว
มีอย่างหนึ่งที่เชื่อมต่อภพต่างๆเข้าหากันคือ "ดาวหาง" ตัวละครนำในแต่ละยุค ต่างมีรอยแผลเป็นดาวหางทั้งสิ้น หากเราจำได้ว่าแต่ละสมัยนั้นมีดาวหางปรากฏอยู่ที่ใคร ก็จะเห็นถึงความเป็นไปในยุคนั้น
Cloud Atlas ยังบอกถึงความต่อเนื่องของผลการกระทำ การที่เราทำสิ่งใดลงไปย่อมส่งผลต่อรุ่่นหลังที่จะได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น ความริษยา ความเห็นแก่เงินทอง ความเห็นแก่ตัว กิเลสของมนุษย์ที่ส่งผลให้ท้ายที่สุดมีแต่ความเน่าเฟะ


สุดท้ายแล้วนี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงในเรื่องความยากในการเขียนบท แต่ตัวบทก็สามารถหาสิ่งที่เป็นตัวเชื่อมความเป็นไปในแต่ละสมัยได้นั่นคือ ข้อความบันทึก, จดหมาย , นวนิยาย , ความเชื่อเรื่องเทพซอนมี ทำให้คนดูพอปะติดปะต่อความเป็นไปของเรื่องได้ แม้จะตัดสลับไปเรื่อยๆจนทำให้คนดูบางส่วนตามเนื้อเรื่องไม่ทันก็ตาม แต่ถึงอย่างไรส่วนตัวแล้ว ชอบการปะติดปะต่อเรื่องด้วยอารมณ์เดียวกัน เช่นการกักขังหน่วงเหนี่ยวธีโมธีกับซอนมี หรือการหลบหนีของทั้งคู่
เมื่อเครดิตท้ายเรื่องขึ้นหากใครลุกออกจากโรงทันทีเรียกได้ว่าพลาดมากทีเดียว เพราะเครดิตตอนท้ายนั้นเฉลยทุกตัวละครให้เราดูทั้งหมด บอกตามตรงว่าเราเองก็ดูตัวละครทุกตัวไม่ออก ที่จำได้คือ4ตัวเท่านั้น หลังจากที่หนังเฉลยแล้วถึงได้รู้ว่ามันมีมากกว่าที่เราเห็น หลังจากดูจบแล้วพูดไม่ออกเลยทีเดียวเพราะต้องนั่งนึกย้อนไปถึงเรื่องราวทั้งหมดแล้วนำมาปะติดปะต่อทั้งหมดเข้าด้วยกัน

ป.ล ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว